วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิธีการทำ

วิธีการทำ

1.นำไหมดิบที่ได้นำมาย้อม



ย้อมไหมดิบให้เป็นสีตามต้องการ




2.ตากไหม




นำไหมที่ได้จากการย้อมมาตากเนื้อให้แห้ง













ปั่นหลอม

3.ปั่นหลอม



นำไหมที่ได้จากการการย้อมสีและตากจนแห้งมาปั่นเข้าหลอดเพื่อให้ไหมเกี่ยวกันแน่นขึ้นและทำให้เส้นไหมมีขนาดสมำ่เสมอกัน
4.ไหมที่เข้าหลอดแล้ว

ไหมที่ปั่นหลอดเสร็จเรียบร้อยพร้อมที่จะนำมาทอเป็นผืนผ้า

การปัดหมี่

5.การมปัดหมี่


การปัดหมี่เป็นการทำเตรียมปอยไหม(การคันหมี่)เพื่อนำไปมัดเป็นลวดลายที่เราต้องการแล้วนำไปย้อมตามสีตามลวดลา

6.การมัดหมี่



การมัดหมี่คือการที่เราเรามัดลวดลายที่เราต้องการแล้วนำไปย้อมสีเพื่อจะทำให้ผ้าไหมเป็นลวดลายที่เราต้องการ




การโว้นไหม

7.การโว้นไหม



ไหมประดิบฐ์ที่ผ่านการโว้น(คั้นหุก)เรียบร้อยและทำเป็นใจใช้สำหรับเป็นไหมผืน(เครือไหม)ในการทอ


กลุ่มอีสานเหนือ

กลุ่มอีสานเหนือ

1.ผ้ามัดหมี่

มัดหมี่ เป็นกรรมวิธีการทอผ้าแบบหนึ่ง ที่อาศัยการย้อมเส้นด้ายก่อนการทอ ทั้งที่ย้อมเฉพาะด้ายพุ่ง และย้อมด้ายยืน เพื่อให้เมื่อทอผ้าออกม้าเป็นผืนแล้ว เกิดเป็นลวดลายและสีสันตามที่ต้องการ เดิมนั้นนิยมใช้เส้นไหม แต่ปัจจุบันพบการมัดหมี่ทั้งเส้นไหม ฝ้าย และเส้นใยสังเคราะห์คำว่า "มัดหมี่" มาจากกรรมวิธีการ "มัด" เส้นด้ายเป็นกลุ่มๆ ก่อนการย้อมสี ส่วน "หมี่" นั้น หมายถึงเส้นด้าย การมัดหมี่ใช้ขั้นตอนยุ่งยาก ตั้งแต่การเตรียมเส้นด้าย และมัดเพื่อย้อมสีเป็นช่วงๆ กระทั่งได้สีที่ต้องการครบถ้วย ซึ่งต้องย้อมหลายครั้งด้วยกัน ในภาคเหนือนิยมเรียกว่า มัดก่าน ในต่างประเทศนิยมใช้คำว่า ikat ซึ่งเป็นคำศัพท์ภาษาอินโดนีเซีย-มลายู
อาจมีความสับสนระหว่างคำว่า มัดหมี่ และ มัดย้อม ซึ่งพบได้มากในปัจจุบัน กล่าวคือ มัดหมี่ นั้นเป็นการมัดเส้นด้ายเพื่อนำมาใช้ทอ มีหลากสี และมีลวดลายที่ละเอียด ส่วน มัดย้อม นั้น เป็นการนำผ้าสำเร็จมามัดแล้วย้อมสี (มักจะย้อมครั้งเดียว สีเดียว) มีลวดลายขนาดใหญ่ ไม่เน้นลักษณะของลวดลายให้ชัดเจนนัก
ผ้ามัดหมี่พบได้ในหลายภูมิภาคในทวีปเอเชีย (อินเดีย จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไทย ลาว เป็นต้น) และอเมริกาใต้ (อาร์เจนตินาเม็กซิโกกัวเตมาลา เป็นต้น) แต่ชาวตะวันตกมักรู้จักผ้ามัดหมี่ของมาเลย์-อินโดนีเซีย และเรียก "ikat" ตามไปด้วย
ผ้ามัดหมี่

ผ้าขิด

ผ้าขิด

ผ้าไหมลายขิด เป็นผ้าพื้นเมืองของภาคอีสาน  บางส่วนจะพบทางภาคเหนือและภาคกลาง  นับว่าเป็นศิลปะในการคิดสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนให้เห็นภาพ  ลักษณะ  ลวดลายและวิวัฒนาการของชุมชนหรือท้องถิ่นของไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวบ้านในชุมชนหรือท้องถิ่นถือว่าในกระบวนการทอผ้าทั้งหลาย การทอผ้าลายขิดจะต้องอาศัยความชำนาญและต้องมีชั้นเชิงทางฝีมือสูงกว่าการทอผ้าอย่างอื่น  เพราะทอได้ยากมาก  มีเทคนิกการทอที่ซับซ้อนกว่าการทอผ้าแบบธรรมดา  เพราะต้องใช้เวลานานความอนทนสูง

ผ้าขิด

ผ้าตีนซิ่น

ผ้าตีนซิ่น

 เป็นผ้าขิดที่ทอเพื่อใช้ต่อชายด้านล่างของผ้าซิ่น เนื่องจาก ผ้าทอพื้นเมือง จะมี ข้อจำกัดในเรื่องของขนาดผืนผ้า ดังนั้นเวลานุ่งผ้าซิ่นผ้าจะสั้นจึงต่อชายผ้า ที่เป็นตีนซิ่นและหัวซิ่นเพื่อให้ยาวพอเหมาะ
ผ้าหัวซิ่น         ก็เช่นเดียวกันเป็นผ้าขิดที่ใช้ต่อชายบนของผ้าซิ่น




ผ้าแพรวาและผ้าแพรมน

ผ้าแพรวา

 มีลักษณะการทอเช่นเดียวกับผ้าจก แพรวา มีความหมายว่า ผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายที่ทอเป็นผืนมีความยาวประมาณวาหนึ่งของผู้ทอ ซึ่งยาวประมาณ 1.5-2 เมตร
ผ้าแพรวาลายจก


ผ้าแพรมน

มีลักษณะเช่นเดียวกับแพรวา แต่มีขนาดเล็กกว่า เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นิยมใช้ เช่นเดียวกับผ้าเช็ดหน้าและหญิงสาวผู้ไทนิยมใช้โพกผม
ผ้าแพรมน 

ผ้าลายน้ำไหล

ผ้าลายน้ำไหล

ผ้าลายน้ำไหลนี้ที่มีชื่อเสียงคือ ซิ่นน่าน (ของภาคเหนือ) มีลักษณะการทอลวดลาย เป็นริ้วใหญ่ๆ สลับสีประมาณ 3 หรือ 4 สี แต่ละช่วงอาจคั่นลวดลายให้ดูงดงามยิ่งขึ้น ผ้าลายน้ำไหล ของอีสานก็คงจะได้แบบอย่างมาจากทางเหนือ โดยทอเป็นลายขนานกับลำตัว และจะสลับ ด้วยลายขิดเป็นช่วงๆ
ผ้าลายน้ำไหล

ผ้าโสร่ง

ผ้าโสร่ง

 เป็นผ้านุ่งสำหรับผู้ชาย ลักษณะของผ้าโสร่งจะทอด้วยไหมหรือฝ้ายมีลวดลาย เป็นตาหมากรุก สลับเส้นเล็ก 1 คู่ และตาหมากรุกใหญ่สลับกัน กว้างประมาณ 1 เมตร ยาว 2 เมตร เย็บต่อกันเป็นผืน
ผ้าโสร่ง

กลุ่มอีสานใต้

กลุ่มอีสานใต้

คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มีสีสันที่แตกต่างจากกลุ่มไทยลาว

 ผ้าหางกระรอก

จะมีสีเลื่อมงดงามด้วยการใช้เส้นไหมต่างสีสอง เส้นควั่นทบกันทอแทรก

ผ้าปูม

 เป็นผ้าที่มีลักษณะการมัดหมี่ที่พิเศษเป็นเอกลักษณ์ต่างจากถิ่นอื่น

ผ้าปูม